ประสบการณ์ผ่านโปรฯ
สุขสันต์วันสงกรานต์ย้อนหลังครับ 🙏 เอาเวลาไปพักผ่อนมาก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับบล็อกเท่าไหร่ (จริงๆ มันก็เป็นเดือนแล้วนั่นแหละ - -”) ครั้งนี้จะเล่าเรื่องงานแรกให้ฟังครับ
เราผ่านโปรฯ ราวๆ ปลายเดือนที่แล้ว เป็นการทำงาน 4-5 เดือนที่ไม่ยากเย็นนัก แม้ว่าจะเป็นภาษาใหม่และต้องทำ back-end ก็ตามที ความเจ๋งก็คือ ตอนแรกเราสมัครเป็น intern ไป แต่ภายในวันเดียวกันบริษัทก็โทรมา offer ตำแหน่ง part-time ให้ ทำเอาเราโดดเหย่งอยู่พักนึง แล้วท้ายที่สุดหลังสัมภาษณ์ครั้งที่สองเสร็จก็ได้ offer ตำแหน่ง full-time ซะอย่างนั้น โชคดีอะไรขนาดนี้
พอทำงานไปได้สักพัก นี่คือสิ่งที่เราเจอครับ
ข้อดี
เราคิดว่าความเร็วในการทำงานกับที่นี่มันสบายๆ ดี ไม่กดดัน คงเพราะความรับผิดชอบของเราตอนนี้ไม่เยอะมาก กระนั้นเราก็พยายามของานทำอยู่ตลอด ไม่งั้นก็แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย เราสามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจ ไม่เก็บเรื่องงานไปคิดเหมือนแต่ก่อน พูดถึงเรื่องกลับบ้าน บริษัทก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก ประมาณ 30 นาทีนิดๆ เข้าสู่ใจกลางเมืองโดยใช้ MRT อาคารสำนักงานเองก็ติดห้างพอดี ถ้านึกครึ้มก็ไปเดินเล่นได้ อาหารการกินทุกอย่างครบครัน แม้จะต้องลงไป food court ชั้นใต้ดินก็ตาม
บริษัทนี้คนไม่เยอะมากครับ ราวๆ 20 คน กระนั้นก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบ startup (ซึ่งเป็นคำชมนะครับ ส่วนตัวเรามีอคติกับ startup ในเรื่องความกดดัน แต่ไม่ใช่ทุก startup จะเป็นแบบนี้) เพื่อนร่วมงานนั้นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในบริษัทนี้เลยก็ว่าได้ คงเพราะเป็นบริษัทญี่ปุ่นในไทย เราก็ได้บรรยากาศการคุยหยอกล้อ คุยขิงข่าของคนไทยอยู่ จนเราคิดเอาเล่นๆ ว่า การมีคนไทยในทีม international เป็นจุดบ่งชี้เลยว่าทีมนั้นมีเพื่อนร่วมงานที่ดี นอกจากจะชงมุก ตบมุกกันอย่างอร่อยเหาะในทีมแล้ว พี่ๆ ในทีมก็ช่วยเหลือกันดี ไม่ดุ คอยมอบสิ่งดีๆ ให้ทีมกับบริษัทอยู่ตลอด
การทำงานกับญี่ปุ่นต้องมีงานกินเลี้ยง (飲み会) แน่นอน แต่ไม่ได้บังคับเหมือนกับบริษัทที่อยู่ญี่ปุ่นจริงๆ งานกินเลี้ยงแรกๆ ของเราเป็นช่วงก่อนปีใหม่ เราได้ไปร้านญี่ปุ่นแถวทองหล่อ กินอาหารญี่ปุ่นหลายๆ อย่างที่ไม่เคยกิน พร้อมกับดูนายยื่นบัตรเครดิตให้ร้านไปคิดเงินหลังกินกันเสร็จแล้ว การกินเลี้ยงก็จะแล้วแต่ช่วง บางทีเป็นช่วงที่พนักงานจากญี่ปุ่นมาแลกเปลี่ยน บางทีก็เป็นมื้อเที่ยงกับคนตำแหน่งสูงๆ เพราะบริษัทอยากให้เขารู้จักกับพนักงานใหม่ ครั้งที่ตราตรึงมากคือโอมากาเสะหัวละ 3,000 บาท คือแบบ 🤯 กินจนอิ่ม
อันนี้ส่วนตัว แต่พอรู้ว่าจะได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น เราก็เกิดแรงจูงใจในการเรียนภาษาญี่ปุ่นขึ้นมา เรามาทำงานที่นี่ได้ฟังภาษาญี่ปุ่นทุกวันอยู่แล้ว จนเราเริ่มฟังคำซ้ำๆ ออก คำศัพท์ที่ท่องจำมาก็ค่อยๆ ได้ใช้ ตอนนี้เรายังพูดได้ไม่เป็นประโยคหรอก แต่คำพื้นๆ อย่างสวัสดีในที่ทำงาน คำชม ก็พอพูดได้ครับ แม้ตอนนี้เราจะค้าง Anki อยู่เป็นสัปดาห์ก็ตามที 😅 คงต้องกลับไปเคลียร์ใหม่อีกแล้วล่ะครับ
ข้อเสีย
เงินเดือนน้อยครับ เราน่าจะยังติดใจจากมุมมองคนญี่ปุ่นต่อไทยอยู่ อารมณ์ว่าเราเป็นแค่เบี้ยล่าง เป็นคนทำงานตัวเล็กๆ ก็เอาไปเท่านั้นซะ แต่ไม่แน่ใจว่าลืมไปหรือเปล่าว่าเขาก็มาใช้ประเทศเราทำมาหากินอ่ะนะ 😬 พร้อมกันนั้น สวัสดิการของที่นี่ก็เฉยๆ ไม่มีอะไรน่าดึงดูด
ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น สิ่งที่เรานึกถึงในวัฒนธรรมการทำงานของเขา คือการทำงานมันช้าไปซะหมด เวลาตัดสินใจจะปรับเปลี่ยนเรื่องขนาดย่อมๆ ภายในบริษัทก็ใช้เวลาเป็นปี หรือลืมแล้วก็ไม่ได้ปรับเลย การทำงานขึ้นอยู่กับหัวหน้าเกือบหมด เราเดาว่าเป็นเรื่อง “ศักดิ์ศรี” อะไรทำนองนั้น กับมุมมองว่า งานคือทั้งชีวิตของพวกเขา
ที่นี่ใช้ PHP ครับ แล้วก็พัฒนา framework ใช้กันเองภายใน แทบไม่ใช้ library ภายนอกเลย โค้ดเก่ามากชนิด 10 ปีที่แล้วก็ยังใช้จนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ว่ามีจุดไหนที่จะลงมาปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยบ้าง ก็พอเข้าใจว่า PHP เป็นภาษาที่มีงานรองรับ แต่เรารู้สึกว่า tech stack ของที่นี่มันเอาไปต่อยอดในสายอาชีพยาก ความรู้ใหม่ๆ เอามาใช้ไม่ค่อยได้เพราะคนข้างบนจะไม่ยอมปรับเปลี่ยน หรือถึงทำได้ผลกระทบมันก็กว้างเกินกว่าเราคนเดียวจะรับไหว
ที่เราเอ๊ะที่สุดคือ เราได้ยินจากเพื่อนร่วมทีมว่า นายเขามีแนวคิดให้พวกเรา “แข่งกันทำงาน” มากกว่า “ร่วมมือกันทำงาน” ซึ่งหมายถึง การเสนอตัวทำงาน การออกหน้าแจ้งข่าวสาร ยืนยันนู่นนี่นั่นแม้ไม่มีความจำเป็น การทำงานเน้นปริมาณเพราะเสนอหน้ารับมาจนล้นมือ ทำทันไม่ทันไม่รู้ แต่ได้ทำเยอะ คุณภาพยังไงก็ได้
“คุณภาพยังไงก็ได้”
ที่รู้ๆ คือ คนที่แข่งกันทำงานมีแต่คนญี่ปุ่นจริงๆ พอได้รู้ข้อนี้ก็น่าเศร้าที่ต้องบอกว่า บางทีเรามองพวกเขาเปลี่ยนไปเลย
สรุปภาพรวม
สำหรับเรา บริษัทยังเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เอนเอียงไปทางแนวคิดเก่าอยู่บ้าง ขอไปทำบริษัทอเมริกา ยุโรปหรือไทยยังจะดีกว่า ด้วยข้อเสียข้างต้นที่เยอะกว่าข้อดี เราคงอยู่ไม่เกิน 2-3 ปีแล้วก็เปลี่ยน เพราะเราอยากเติบโตมากกว่านี้ แต่ที่นี่ให้เราไม่ได้ จากนี้ไปเราน่าจะเริ่มคิดถึงการเป็น full-stack มากขึ้นแล้วล่ะครับ เพราะเอาจริงทำ back-end ก็สบายตัวอยู่ คิดว่าตอนแรกไม่ถนัดขนาดนั้น นี่แหละครับทั้งหมดที่คิดหลังจากผ่านโปรฯ